วันศุกร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เรื่องสั้น : เลือนลาง




ฉันกำลังฝันอยู่หรือเปล่า ดูเหมือนว่ามันจะเลือนลางเหลือเกิน เมื่อลืมตาขึ้นมาพบเพียงหยดน้ำที่เกาะอยู่บนกระจกหน้าต่าง เหมือนฝนเพิ่งหยุดตก แสงที่ส่องผ่านหน้าต่างบานเล็กเข้ามา ยิ่งทำให้สองตาที่เพิ่งเปิดขึ้นต้องปิดลงอีกครั้ง และแทบจะไม่อยากลืมตาขึ้นอีก แต่จู่ๆ ดวงตาที่กำลังปิดนั้นก็เต็มไปด้วยน้ำตา น้ำตาที่เมื่อคืนมันควรจะไหลแต่ไม่ไหลสักหยด เพิ่งจะมาไหลไม่ยั้งเอาในตอนเช้านี้ ความรู้สึกช้าไปหรือเปล่าหนอเรา
การอกหักมันเจ็บปวดทรมานเยี่ยงนี้นี่เอง ทั้งที่เป็นคนเข้มแข็ง ไม่เคยร้องไห้กับอะไรง่ายๆ จนใครบางคนบอกว่าฉันเป็นคนเย็นชา แม้แต่ตอนที่เขาบอกเลิกเมื่อคืนนี้ ฉันยังยอมรับมันด้วยดวงตาแห้งผาก แต่ใครจะไปรู้ว่ามันจะมาเจ็บหนักเอาตอนเช้า เหมือนมีก้อนกลมๆ จุกอยู่ที่อก อย่างที่ใครๆ เขาว่า ถ้าไม่ร้องไห้ระบายออกมา ไอ้ก้อนกลมๆ นั่นมันคงอั้นอยู่ในอกจนเราอาจจะขาดใจตาย
แต่แค่เพียงสิบนาที น้ำตามันก็หยุดไหล หรือว่าใจของฉันมันจะเย็นชาจริงๆ
เงยหน้าขึ้นมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูเหมือนว่าฟ้าจะร้องไห้แทนฉันเสียแล้ว ภายนอกนั่นฝนตกกระหน่ำประหนึ่งฟ้ารั่ว เสียงฝนกระทบหลังคาบ้านเป็นจังหวะรัว ผสมด้วยเสียงฟ้าร้องครืนๆ แล้วฉันก็ยิ้มออกมา ลุกขึ้นจากเตียงเดินไปเกาะหน้าต่างมองออกไปสู่สายฝนภายนอก จากรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า กลายเป็นยิ้มกว้าง และหัวเราะในที่สุด
ชีวิตคนเราก็เป็นอย่างนี้ใช่ไหม ใครกันจะร้องไห้ตลอดเวลา แล้วมีใครไหมที่จะหัวเราะได้ตลอดทั้งวันทั้งคืน ดูอย่างฉันซิ เมื่อกี๊ยังร้องไห้อยู่หยกๆ ตอนนี้ดันหัวเราะเสียได้ หัวเราะให้กับความเศร้าของตัวเองนะซิ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น แข่งกับเสียงฝนตกข้างนอก ในขณะที่ฉันยังยืนยิ้มเหม่อมองสายฝน พี่สาวที่เป็นทั้งพี่และเพื่อนสนิทคนเดียวของฉันก็โทรเข้ามา
“ไงแก ฝนตกหนักเชียว ไม่ออกไปไหนใช่ไหม เดี๋ยวฉันเข้าไปหา จะให้ซื้ออะไรเข้าไปไหม”
“ขอน้ำใบบัวบกละกัน แก้ช้ำใน”
“แน่ะ ยังจะเล่นได้นะแก อย่างนี้ก็ไม่น่าห่วงแล้วซิ”
“ห่วงนิดนึงก็ดีนะ แกรีบมาหน่อยละกัน ฉันหิว”
“อือ ไม่เกินครึ่งชั่วโมงถึง”
บนโลกบิดเบี้ยวใบนี้ แค่มีใครสักคนที่เข้าใจและอยู่เคียงข้างในยามที่เราต้องการ นั่นคือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว สำหรับฉัน ไม่ต้องการคำปลอบโยนใดๆ แค่ให้รู้ว่าไม่ทิ้งกันก็พอ
หลังจากวันนั้น วันที่ฝนตกกระหน่ำ ฉันก็ไม่ได้เสียน้ำตาให้เรื่องของเราอีก แม้แต่พี่สาวของฉันเองยังว่าว่าฉันเย็นชาเสียจริง ก็ทำไมล่ะ ในเมื่อเขาไม่รักฉันแล้ว ร้องไห้เสียใจฉันก็ร้องไปแล้ว คงไม่มีอะไรที่ฉันจะทำได้มากกว่านี้อีก ทำได้แค่ยอมรับความเป็นจริงที่ว่า เราสองคนเป็นแค่เพียงความทรงจำของกันและกันไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าการไม่ร้องไห้ หมายถึงฉันลบความเศร้าทิ้งไปได้หมดแล้ว ฉันก็ยังคิดถึงเขา ยังเสียดายวันเวลา เพราะเมื่อย้อนกลับไปดูแล้ว ความผิดทั้งหมด มันก็อยู่ที่ฉันนี่เอง
ความทรงจำอันเลือนลางของสองเรา คบกันมา 7 ปี 7 ปีที่ช่างยาวนาน แต่มีความทรงจำดีดีตอนไหนที่ฉันจำได้แม่นๆ บ้างไหมหนอ ครั้งที่เขามาขอคบกันเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัย จำได้เพียงว่านั่งอ่านหนังสืออยู่คนเดียวใต้ต้นไม้ เพื่อนคนหนึ่งซึ่งคุ้นหน้าว่าเรียนห้องเดียวกัน เดินเข้ามาทัก แล้วจู่ๆ เขาก็บอกว่าชอบ รายละเอียดอื่นๆ หรือว่าเราคุยอะไรกันก่อนหน้านั้น หรือหลังจากนั้น มันเลือนลางมากจนแทบจำไม่ได้ แม้กระทั่งเดทแรก เรื่องนี้ซิที่จำไม่ได้จริงๆ แต่จำได้ว่าเคยทะเลาะกับเขา เพราะฉันจำเรื่องเดทแรกของเราไม่ได้นี่แหละ
แล้วในวันฝนตก เรามีความทรงจำน่าประทับใจเหมือนคู่อื่นๆ เขาบ้างไหมนะ หรือจะมี วันนั้น วันที่ฉันนั่งทำงานจนมืดค่ำ ถ้าเขาไม่โทรมาฉันก็ยังคงนั่งทำงานอยู่ไม่คิดจะกลับบ้านกลับช่อง เขาโทรมาเพราะเป็นห่วง เพราะเป็นวันที่ฝนตกหนักมาก พอรู้ว่าฉันยังไม่กลับ ก็รีบนั่งรถไฟฟ้ามาหา ไม่ขับรถมาเพราะกลัวรถติด บอกว่าไม่ต้องก็ยังจะมา พอเขามาถึง ฉันก็เอาแต่บ่น
“จะมาทำไม กลับเองก็ได้ จะย้อนไปย้อนมาให้เสียเวลาเสียเงินเปล่าทำไมก็ไม่รู้”
ครั้งหนึ่ง เขาถามฉันว่าเคยรักเขาบ้างไหม
“รักซิ”
ฉันตอบออกไปอย่างนั้น
“แต่การแสดงออกซึ่งความรักของคนเราต่างกัน จะให้ฉันหวานแหวว เอาอกเอาใจ ฉันทำไม่เป็น”
และก็ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจ เพราะหลังจากนั้นเขาก็ไม่ถามอีก หรือว่าเขาไม่เคยเข้าใจมันเลย
เคยถามเขาว่า ทำไมถึงรักกัน
“ไม่รู้ซิ ความรู้สึกไม่เคยมีเหตุผล”
เขาตอบฉันอย่างนั้น
“แต่ความสัมพันธ์ต้องมีเหตุผล ความรักจึงจะมีความหมาย”
อย่างนั้นหรือ ถ้าเช่นนั้นฉันก็คงไม่เคยมีเหตุผล เพราะความรักและความสัมพันธ์ของเรามันไร้ความหมายสำหรับเขาเสียแล้ว
ฉันเห็นแก่ตัวเกินไปหรือเปล่า ฉันเฉยชามากไปจริงๆ หรือ ไม่เคยแม้กระทั่งคิดจะบอกให้เขาตัดใจเลิกรา ทั้งที่ไม่ค่อยมีเวลาให้เขา ทำแต่งาน งาน งาน จนลืมวันเกิดเขา ลืมวันครบรอบ ลืมอะไรหลายอย่างที่ควรจะจำ หรือจะเรียกว่าไม่เคยจำดีหนอ
“ปากพร่ำพูดว่ารัก แต่ไม่เอาใจใส่ ไม่ดูแล ทิ้งๆ ขว้างๆ แล้วจะเรียกว่ารักได้หรือ”
ฉันเคยโดนพี่สาวบ่นอย่างนั้น แต่ก็ไม่เคยใส่ใจ จนกระทั่งวันที่เขาเอ่ยลา จึงนึกถึงประโยคนี้ขึ้นมาได้
เมื่อเหตุผลของการขอเลิกนั้น คือเขาได้พบเจอหญิงสาวผู้อ่อนโยน รักและดูแลเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน และเข้าใจกันมากกว่า ฉันจึงไม่อาจหน้าด้านขอโอกาสแก้ตัว แม้จะรู้ว่าตัวเองทำผิดพลาดอะไรลงไปบ้าง แต่ก็รู้ตัวเมื่อสายเกินไป
ลมแรง พัดพาเศษใบไม้ปลิวว่อนอยู่ด้านนอกบ้าน ประตูหน้าต่างถูกลมพัดกระแทกเสียงดังตึงตัง แต่ไม่มีทีท่าว่าฝนจะตกลงมา ลมพัดอย่างกับว่าเป็นลมหนาว แต่อากาศไม่หนาวเลยสักนิด ถ้าลมแรงขนาดนี้สามารถพัดพาความเศร้าออกไปจากใจได้คงดี แต่ไม่ว่าลมจะพัดรุนแรงเป็นพายุขนาดไหน สิ่งที่อยู่ในใจก็ยังคงติดอยู่เหมือนเดิม มีแต่ตัวเราเองเท่านั้น ที่เป็นผู้เลือกที่จะเก็บมันไว้ หรือจะลบมันออกไป
แต่ถึงแม้ว่าเราเลือกที่จะลบมันออกไปแล้ว ก็ไม่มีวันที่ร่องรอยนั้นจะหายไปจนหมดสิ้น มันยังคงทิ้งรอยจางๆ เลือนลางอยู่ในใจ เก็บไว้ให้เราได้คิดถึงในวันใดวันหนึ่งเสมอ

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Lace hairband




































I bought 1 yard lacework from Sampeng, BKK. It cost only 46 Baht.




วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554


เริ่มต้นปีใหม่ปีนี้ด้วยสิ่งดีดีหลายอย่างเลย และนี่เป็นอีกหนึ่งสิ่งดีดี Toire no kamisama : นางฟ้าผู้สถิตย์อยู่ในห้องน้ำ

Toire no kamisama เป็นละครที่สร้างมาจากเรื่องราวของเพลงชื่อเดียวกัน ของ อุเอะมุระ คะนะ ที่เธอแต่งขึ้นเพื่อเล่าเรื่องราวความสัมพันธ์ตั้งแต่วัยเยาว์ของเธอกับคุณยายผู้ล่วงลับ ผู้ซึ่งเลี้ยงดูเธอ และเล่าเรื่องนางฟ้าผู้สิงสถิตย์อยู่ในห้องน้ำให้คะนะตัวน้อยเลิกเกลียดการทำความสะอาดห้องน้ำ คุณยายบอกว่า ห้องน้ำนั้นมีนางฟ้าสิงห์สถิตย์อยู่ ผู้ใดที่ทำความสะอาดห้องน้ำให้เอี่ยมอ่องสวยงาม เธอผู้นั้นก็จะงามดั่งเดียวกับนางฟ้าผู้สิงห์สถิตย์อยู่นั่นเอง

เพลง Toire no kamisama มีความยาวถึง 10 นาทีกว่า แต่ขอบอกว่าแม้จะฟังไม่รู้เรื่อง แต่กลับรู้สึกเพลิดเพลินไปกับเสียงร้องและทำนองเพลง จนไม่รู้สึกเลยว่าเพลงมันยาวขนาดนี้ มิวสิควีดีโอก็งามมาก ภาพสวย และเรื่องราวที่ทำให้นั่งน้ำตาคลอไปกับเพลง บอกตรงๆ ว่าไม่ได้เว่อร์ แต่มันอินจริงๆ นะ

ละครที่ทำออกมาเป็นแค่ละครสั้นๆ เนื้อหากระชับ เล่าเรื่องของคะนะกับคุณยายและครอบครัวอันยุ่งเหยิงเล็กๆ แต่อบอุ่นอย่าบอกใคร มีอยู่ฉากนึงที่ชอบมาก เป็นฉากตอนคะนะจังยังเป็นเด็กเล็กๆ วันคริสมาสต์ที่คุณแม่แอบซื้อของขวัญมาแอบซ่อนไว้ในบ้าน เป็นของที่ลูกๆ ทั้ง 4 คนอยากได้ แต่มีกฎอยู่ว่า ใครเจออะไรก็ได้อันนั้นไป พี่สาวกับพี่ชายของคะนะดันเจอของสลับกันเข้า แต่พี่สาวกลับอยากได้กล้องที่ตัวเองเจอ แต่เป็นสิ่งที่พี่ชายอยากได้ เลยทะเลาะกันใหญ่โต แม่ก็เข้ามาห้าม พี่สาวอีกคนก็เข้าข้างน้องชาย กลายเป็นเรื่องราวจะออกจากบ้านกันไป จู่ๆ คะนะจังก็ร้องเพลง Santa Claus is coming to town ขึ้นมา ทุกคนหันมามองคะนะจังที่กำลังร้องเพลงพร้อมกับส่งยิ้มอย่างไร้เดียงสา เหมือนทุกคนจะเข้าใจได้ในบัดดล ว่าวันนี้สมควรจะเป็นวันสุขสนุกสนานของครอบครัวซินะ

ตอนนี้ เสียงเพลงของคะนะ ทำให้หลายคนรู้สึกอบอุ่นและมีความสุข คนเหล่านั้นก็รวมเราไปด้วย อยากให้หามาดู หามาฟังกันนะ Toire no kamisama : นางฟ้าผู้สถิตย์อยู่ในห้องน้ำ มีประโยคเด็ดๆ เยอะเลยในละคร

ขอให้มีความสุขกันถ้วนทั่วทุกคนนะ สู้ต่อไป...

วันพุธที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2554

Hua Hin, the place I'm living now.

To start a nice new year, I've got a new job at Hua Hin the nice beach and hip place that have been the Thai's vacation place since my mom still a baby.

The place I'm working and living now called Riad Hua Hin a small and hip hotel near Koa Takiep beach. Almost the end of last year, I called my friend to ask for a job that she asked me before and she said yes so after new year I found myself moved to the new place and be happy not only for myself but also for my friend who found out that she's pregnant only one day after accepted me as her employee.

This year the weather is colder than normal, even here is not North or Northeast, normal will be a bit cold only in the evening or early morning but recently it's all day cold with the wind. The weather like this is nice for the Thai that it's hardly happen in Thailand and now we're enjoying it.

My new year started with a nice job at a nice place with a nice news of a new baby that's coming and hope I'll meet a nice and right man to be on my side this year too ^^.

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เงินกับรอยยิ้ม

วันนี้เจอแขกฝรั่งเศสเช็คอินเข้าใหม่หนึ่งคู่ ตอนแรกก็มีรู้สึกไม่ดีนิดหน่อยที่เขาพูดภาษาอังกฤษไม่ได้เลย สื่อสารกันไม่เข้าใจ แต่ด้วยความที่เขาไม่หงุดหงิดที่เราไม่เข้าใจเขา แล้วเขาก็พยายามพูดกับเราด้วยรอยยิ้ม เลยทำให้รู้สึกดีมาก เราก็เลยพยายามทำความเข้าใจเขาทีละนิดทีละหน่อย แค่รอยยิ้มกับการพูดจาดีๆ ก็ช่วยได้เยอะแล้ว

ย้อนกลับไปเมื่อตอนทำงานอยู่ที่พระนครนอนเล่น ครั้งที่แขกที่พูดอังกฤษดีเหลือเกิน ไม่มีปัญหาด้านภาษาใดๆ แต่กลับทำให้หงุดหงิดยิ่งกว่า เพราะเขาไม่พยายามจะเข้าใจเรา และเราก็ไม่อยากจะเข้าใจเขาด้วย การพูดจาของเขาในตอนนั้น ใช้เงินเป็นตัวหลักในการขอให้เราทำอะไรให้ เงินเราก็อยากได้ แต่ถ้าเป็นเงินจากคนอย่างเขา เราก็มีศักดิ์ศรีเหมือนกัน คิดอย่างเดียวว่าจะเอาเงินฟาดหัวคนอื่น พูดจาดูถูกดูหมิ่น ก็อย่าหวังเลยว่าจะทำให้ สรุปแล้วเขาก็ไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการจากเรา

กลับกันกับครั้งนี้ ที่เขาไม่ได้เสนอเงินให้ แต่คำขอบคุณกับรอยยิ้มที่เขาซึ้งกับการยินดีช่วยเหลือจากเรา มันช่วยให้วันหม่นๆ หมองๆ สดชื่นชุ่มใจขึ้นเยอะทีเดียว

วันศุกร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"Ponyo" on the cliff by the sea


Gibli's animation always give me an inspiration and imagination and I love all Gibli animation because it's talk about the environmental problem in the way of telling the children to love and live with the nature.


Ponyo (Po-nyo) is the new animation from Gibli, the story about a 5-year old Sozuke and a beautiful goldfish "Ponyo" the daughter of a masterful wizard and a sea goddess, Ponyo quickly falls in love with Sosuke, so she uses her father's magic to transform herself into a human but the use of powerful sorcery causes a dangerous imbalance in the world. As the moon steadily draws nearer to the earth, the two children embark on an adventure of a lifetime to save the world and fulfill Ponyo's dreams of becoming human.

Maechaem : my battery was fully charge here

What will you do when your battery of life is exhausted, you have no power to work or even to talk with anyone but with my duty I have to meet a lot of people so I went for a holiday to charge my battery.

My friend and I went to Chaingmai by bus then we transfer to Jomthong district by a small bus for 2 hours and took a truck (Song Thaew) for another 2 hours to our destination call Maechaem.

We stay there 3 days 2 nights, it's rainy season so all the mountain and the rice fields were all green. We rent motorcycle to go around the town and all the place we went is full with history and so pleasant. The people is so kind as you can touch in the country side of Thailand where people still pure.

In early morning we could see the fog on the hill, the air are pure and I breath in as the deepest as I could. In the late morning and afternoon we visited a lot of beautiful temple with hundred years of history. In the evening we went to had a massage then dinner with Mae Kumpor home stay and I request my favorite dish which was so nice.

Now I'm back to work with full battery, but I have plan for my next journey, not for fulfill my battery but for learning the others experience.